Tv Lotus ราคา
Work-Life Balance คำคุ้นหูที่หลายคนได้ยินกันบ่อย และอาจสงสัยว่ามันคืออะไรกัน Work-Life Balance คือแนวคิดที่พูดถึงการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวเพื่อลดผลกระทบจากการทำงานที่มากเกินไป ซึ่งอาจมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและฟรีแลนซ์ แม้ว่าการทุ่มเทให้กับงานจะเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม แต่การขาดสมดุลระหว่างงานและชีวิตอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพและความสัมพันธ์ คนที่จริงจังกับงานหรือทำงานตลอดเวลาอาจเสี่ยงมีชีวิตขาดสมดุลทั้งสองด้าน บทความนี้จะมาช่วยเช็กว่าคุณขาดสมดุลระหว่างงานกับชีวิตหรือไม่ และ Work-Life Balance มีแนวทางอย่างไร ชีวิตแบบไหนที่ควรปรับ Work-Life Balance?
คุณว่า เวิร์คไลฟ์บาลานซ์ คืออะไร? แล้วสัดส่วน Work กับ Life ของคุณคือเท่าไร, บาลานซ์หรือไม่?
เคารพเวลาพักผ่อนของตัวเอง คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องแบกงานกลับมาทำที่บ้านหรือแม้แต่ในวันหยุด บ้างก็ต้องคอยรับโทรศัพท์กลางดึก ซึ่งสิ่งเหล่านี้รบกวนเวลาพักผ่อน แถมยังบั่นทอนจิตใจ ดังนั้น เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ควรหยุดคิดถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ปิดโทรศัพท์มือถือ และใช้เวลาเหล่านั้นพักผ่อนเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและตั้งใจในแต่ละวัน 4. ใส่ใจกับตัวเองมากขึ้น การจะฝ่าฟันอุปสรรคจากในการทำงานไปให้ได้อาจต้องอาศัยทั้งแรงกายและแรงใจ การใส่ใจกับตัวเอง ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็ล้วนสำคัญ ดังนั้น ควรแบ่งเวลาสำหรับการดูแลตนเอง เช่น ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อผ่อน คลาย ความเครียด สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง พร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต 5.
แพทย์เผย 5 ไลฟ์สไตล์การทำงานเสี่ยงมะเร็งเต้านม ท่าออกกำลังกายป้องกันออฟฟิศซินโดรม แถมยังหุ่นดี ไม่มีปวดหลังอีกด้วย!
สวัสดิการและสิทธิพิเศษที่เลือกได้ (Customizable Perks) เป็นการให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นรายบุคคลมากขึ้นเพราะพนักงานแต่ละคนล้วนมีความสนใจที่แตกต่างกันบางคนชอบดนตรีและความบันเทิงอาจต้องการส่วนลดบัตรคอนเสิร์ตหรือบัตรชมภาพยนตร์บางคนอยากได้เงินสนับสนุนค่าสมาชิกฟิตเนสหรือบางคนก็ต้องการวันลาพักร้อนที่มากกว่าปกติ ดังนั้นการให้พนักงานเลือกสวัสดิการและสิทธิพิเศษอื่น ๆ ด้วยตัวเองได้นั้น นอกจากจะช่วยจูงใจให้คนอยากเข้ามาทำงานกับองค์กรแล้ว ยังเป็นวิธีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรใส่ใจในตัวของพนักงาน ซึ่งจะช่วยรักษาคนที่มีศักยภาพไว้ได้อีกด้วย 4. สร้างโอกาสทางการเรียนรู้ (Invest in Training) เพราะโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจึงเป็นเรื่องสำคัญมากโดยเฉพาะคนยุคมิลเลนเนียลที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในหลายๆองค์กรซึ่งคนเหล่านี้มีความรู้สึกว่าหากบริษัทสนับสนุนการเติบโตของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการเปิดคอร์สอบรมภายในบริษัท การส่งพนักงานไปอบรมหรือศึกษาดูงาน รวมถึงการสนับสนุนค่าเรียนพิเศษเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับงาน จะช่วยให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองและเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้นั่นเอง ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
สำรวจความสามารถของเราเอง อันนี้ง่ายที่สุดครับ ว่าเราถนัดกับงานอะไร งานอะไรที่เราทำได้เร็ว ทำได้คล่อง อันไหนทำได้ไม่คล่อง แน่นอนครับ ว่าถ้าเราดันไปรับปากทำอะไรที่เราไม่ถนัด รับรองได้ว่า งานนั้นกินเวลาชีวิตเราแน่นอน วิบัติทันทีครับ 2. ประเมินเวลาที่จะใช้กับงานในแต่ละงานที่เราจะทำ (หรือได้รับมอบหมาย) ก่อนที่จะประเมินเวลา เราต้องรู้จักกับคำนี้ก่อนครับ "TIMELINE" หรือ หรือ กำหนดเวลาส่งงาน ว่ามันมีกำหนดเวลาส่งงานเมื่อไร ถ้าเรารู้ว่า กำหนดระยะเวลาส่งงานเป็นเมื่อไร และเรารู้ว่า เราจะเหลือเวลากับมันกี่วัน กี่ชั่วโมง กี่นาที เราจะตอบได้ ว่าเราจะทำมันทันไม๊ ไม่ใช่สักแต่รับปากว่า ทันครับนาย ได้เลยคับ เป็น Man กันไป แล้วงานก็ทับตัวตาย แล้วสุดท้ายก็มาบ่นกับเพื่อนๆ ว่า งานเยอะฉิบหาย 3.
Stopped Worrying About How Many Hours Per Day หยุดกังวลว่าวันนี้คุณใช้เวลาทำงานไปกี่ชั่วโมง แล้วไปโฟกัสว่าวันนี้งานที่คุณทำออกมาจะมีประสิทธิภาพที่ดีมากพอหรือยัง สมัยนี้เวลาทำงานไม่ใช่ตัวชี้วัดแล้วว่าคุณเป็นพนักงานที่ดีพอหรือเปล่า แต่มันวัดจากผลงานที่คุณทำออกมาต่างหาก ดังนั้นคุณต้องรู้จัก Flow การทำงานของตัวเองว่าช่วงไหนคุณจะทำสิ่งไหนแล้วได้ผลงานที่ออกมาดี บางคนประชุมตอนเย็นแล้วรู้สึกเหนื่อยหรือหมดพลัง ก็อาจต้องลองนัดหมายเป็นช่วงเช้าแทน 2. Find A Company Worth Hustling For เรื่องนี้สำคัญมาก การหาบริษัทที่ทำให้คุณอยากพัฒนาตนเองและตอบโจทย์เป้าหมายของชีวิตทำให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้กำลังแค่ซัพพอร์ตบริษัท แต่บริษัทก็กำลังซัพพอร์ตคุณเช่นกัน 3. Create A Morning Ritual ก่อนที่จะต้องเจอกับความวุ่นวายของวัน ลองเซตชั่วโมงแรกของวันไปกับการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เล่นกับน้องหมา สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้คุณพร้อมสำหรับวันใหม่ได้ดีขึ้น 4. Be Selfish ให้เวลาตัวเองในตอนที่คุณต้องการ ถ้าง่วงก็งีบบ้าง อยากกลับบ้านเร็วบ้างก็ได้ วันไหนไม่ไหวก็พักหน่อย แน่นอนว่าเราอยู่ในโลกยุคที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ แต่ถ้าคุณไม่รู้จักให้เวลาตัวเอง โลกของคุณก็จะโคจรรอบเป้าหมายของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณ 5.
โดยส่วนใหญ่การปรับ Work-Life Balance มักเป็นการพูดถึงวิธีหาสมดุล จุดกึ่งกลาง และเส้นแบ่งของงานกับชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เราใช้ชีวิตเทไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ซึ่งอาจทำได้ดังนี้ 1. ตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การทำงานที่มีปริมาณหรือรายละเอียดเยอะที่มาก ๆ อาจทำให้เราทำงานต่อเนื่องกันไปจนหลงลืมเวลา ทั้งงานเก่างานใหม่ปนเปกันจนไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ดังนั้นการตั้งเป้าหมายและสร้างลิสต์งานที่ต้องทำในแต่ละวันอาจช่วยจัดการเวลาได้ดีขึ้น 2.
รู้จัก "Post Vacation Blues" ภาวะเศร้าซึมหลังหยุดยาว
ใช้สูตร 8:8:8 การทำงานแบบ Work Life Balance ที่ดีต้องรู้จักการแบ่งเวลาเป็นสัดส่วนให้ชัดเจนแม้ในวันที่ทำงานอยู่ที่บ้านก็ตาม คนเรามีเวลา 24 ชม.